Moonrise Kingdom
จักรวาลแสงจันทร์ของฉันและเธอ
ย้อนกลับในปี ค.ศ 1965 นี่คือเกาะ นิวเพนแซนด์ เมืองชายฝั่งเล็กๆห่างไกล ที่มีน้ำท่วมและพายุเฮอริเคนที่รุนแรงหนักชนิดที่ไม่สามารถเดินเท้าเข้าไปถึงได้ ….เขตจัดตั้ง Chickchaw แท้จริงแล้วคือชื่อสถานที่สมมุติจากจินตนาการ โดยเลือกถ่ายทำที่Rhode island เกาะที่มีทิวทัศน์เอื้อกับการทำให้เป็นเหมือนป่าหิมพานต์แฟนตาซี
ใครที่ไม่เคยดูหนังของWes Anderson มาก่อนแล้วอยู่ดีๆมาดูเรื่องนี้ อาจจะเกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าไม่ ชอบ ก็อาจจะเกลียดไปเลย แต่ถ้าคุณเคยดูผลงานของเขามาก่อนโดยเฉพาะ The Darjeeling Limited ก็ต้องคุ้นชินกับการใช้โทนสีของเขาบ้างล่ะ
หนังเปิดฉากแรกมาโดยการพาเราไปดูครอบครัว Bishop บ้านแสนสวยที่เป็นที่อยู่ของนางเอก Suzy เมื่อมองการออกแบบการตกแต่งภายในแล้วพาลให้นึกถึงหนังสั้นเรื่อง Forest Grove ของ Maya Churi ใช่…. มันเหมือนบ้านตุ๊กตาที่สวยมากๆ แต่ไร้ความรู้สึกอบอุ่นภายในบ้านไม่ว่าจะทุ่มใช้สีส้มลงไปในหนังซักแค่ไหนก็ตาม การนำรูปแบบนิทานผจญภัยออกมาสร้างให้เป็นหนังที่อยู่ในโลกความจริง มีการนำอิทธิพลสไตล์ของหนังยุค 60 มาใช้ และถ้าคุณสังเกตรายละเอียดเล็กๆน้อยที่ผู้กำกับใส่ลงไปในหนัง คุณน่าจะอยากกดlikeอะไรในยุคนั้นหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการส่งจดหมายสมัยก่อน, แสตมป์, นิตยสาร “Indian Corn” การอธิบาย soundtrack ของหนังผ่านคลื่นวิทยุเก่าๆ ก็ใช้เพลงบรรเลงออเคสตร้าประกอบทั้งเรื่องนี่นะ ก็ต้องมีแอบแนะแนวกันหน่อย โดยเฉพาะเพลง Le Temps de l’Amour ของ Françoise Hardy โรแมนติกมาก
Moonrise Kingdom ไม่ใช่แค่หนังผจญภัยสำหรับเด็กเท่านั้น แต่เป็นหนังเกี่ยวกับเด็กที่ผู้ใหญ่ควรดูแล้วย้อนดูตัวเองซะบ้าง ผู้ใหญ่อย่างเรา เห็นปัญหาอะไรของลูกๆผ่านตัวละครอย่าง Sam และ Suzy บ้าง
สองชั่วโมงของหนังที่จะพาคุณผจญภัยไปกับ Sam เด็กกำพร้าและลูกเสือสามัญที่หนีค่ายลูกเสือเพื่อชวนสาวน้อย Suzy ออกไปเผชิญโลกกว้าง ด้วยความมั่นใจมากว่าตัวเองผ่านการฝึกจากค่ายลูกเสือมาแล้ว …ไปกับพี่ แล้วดีเอง
สุดท้ายพบว่า ของจริงนี่มันค่อนข้างต่างจากในตำราว่ะ 555 แต่การเดินออกไปเรียนรู้ประสบการณ์ตรงมันก็ดีกว่านั่งจินตนาการเอาอยู่ดี หลายมุขตลกที่ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราต้องอมยิ้มในความไร้เดียงสาของตัวละครที่คิดเล่นเป็นผู้ใหญ่ จับปลามาแต่ทำกับข้าวไม่เป็น อมก้อนกรวดให้หายคอแห้ง มันไม่เวิร์คหรอก โยนใบสนเพื่อดูทิศทางลมจนกระจุยกระจายเต็มหน้า ขโมยฉีดน้ำหอมแม่เพื่อหนีเข้าป่ากับเพื่อนชายเนี่ยนะ
ตัวละครหลักของเรื่องเลย คือ Sam เด็กกำพร้าไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ที่แท้จริง มีเพียงรูปถ่ายใบเดียว เขาเป็นเด็กที่ไม่มีคนชอบ ใครๆก็คิดว่าเขาเป็นเด็กมีปัญหา ทำตัวประหลาด จนพ่อแม่บุญธรรมที่เคร่งศาสนาต้องเอือมระอาไม่รับเลี้ยงอีกต่อไป ซ้ำร้ายเขายังหนีออกจากค่ายลูกเสือโดยนัดแนะกับสาวน้อยSuzy Bishop เด็กจากครอบครัวร่ำรวย เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทุกๆวันเธอนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพื่อใช้กล้องส่องทางไกลมองดูสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างไม่เคยได้ออกไปเที่ยวเล่น เธอมีครอบครัวสมบูรณ์แต่ทว่ามีพ่อแม่ที่ไม่เคยมีความสุขเลย พ่อของเธอไม่เคยแยแสอะไรหรือใครในครอบครัว Suzy เป็นเด็กสติแตกที่ชอบความรุนแรง ดื้อ ไม่เชื่อฟัง พร้อมละเมิดกฎเกณฑ์กติกาต่างๆตลอดเวลา ตอนนี้เธอเกลียดครอบครัว เธอไม่มีเพื่อนซักคน ยกเว้น Sam เพื่อนทางจดหมาย เพื่อนคนเดียวที่ Suzy สามารถระบายความในใจด้วยได้
การเดินทางแสนพิเศษของเด็กสองคนที่มีการแตกร้าวภายในใจ ก็แค่ต้องการค้นหาฐานทัพของตัวเอง โดยมีปลายทางที่“เวิ้งน้ำ 2.5 ไมล์ ” นั่น น้ำทะเลใส มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายโค้งเว้าราวพระจันทร์เสี้ยว สถานที่ที่เด็กทั้งสองคนหวังจะให้เป็นที่ดินของพวกเค้าเอง ที่มีแค่เขาสองคนรู้จักมัน เอกลักษณ์ของmoonrise Kingdom คือการให้นักอุตุนิยมวิทยาแต่งตัวประหลาด ท่าทางเพี้ยนๆ แต่แบบ รู้ดีทุกอย่างๆBob Balaban ออกมาปูทาง ชี้นำเนื้อเรื่องตัวละครเป็นระยะ แถมยังคอยห้ามทัพผู้ใหญ่ใจอนุรักษ์ที่เอาแต่โทษกันไปมาจนแทบจะตบกันตาย
ยังมี Bruce Willis มารับบทตำรวจประจำเกาะผู้หดหู่ซึมเศร้าที่มีความลับในใจ , Edward Nortonหัวหน้าค่ายลูกเสือที่ไร้ความเป็นผู้นำ และTilda Swinton นักสังคมสงเคราะห์ที่ชอบตั้งค่าเด็กมีปัญหาว่าเป็นเด็กสมองเพี้ยนแล้วก็แก้ปัญหาด้วยการเอาไฟฟ้าช็อตเด็ก
ไปผจญภัยกับเด็กสองคนที่ตกหลุมรักกัน พวกเขาจะสามารถหนีบรรดาผู้ปกครอง และเพื่อนๆลูกเสือที่คอยตามล่าตัวได้หรือไม่ ?
อย่าหวังให้ Moonrise Kingdom คือหนังสำเร็จรูปสไตล์หนังมาตรฐานทั่วไป Sam Shakusky ได้พูดไว้ในหนังแล้วนะ “ กลอนไม่จำเป็นต้องมีสัมผัสเสมอไป แค่มีพลังสร้างสรรค์ก็พอ ”
Pattrawadee Tanaluk Published : May 22, 2013