The Invention of Lying
ชอบไหม….โลกที่ทุกคนพูดความจริงไปซะหมด?
“ผม/ชั้น เป็นคนตรง คิดยังไงก็พูดอย่างนั้น ไม่เคยเสแสร้ง”
……..เราคิดกันไปเองทั้งนั้น ว่าเราพูดแต่ความจริงจากใจ………
ถอยห่างออกมาสักก้าว แล้ววิเคราะห์ ความเป็นไปได้
นี่คือ ” The Invention of Lying “ โลกที่ทุกคนพูดความจริงจนหมดเปลือก !
สิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่าการโกหกของมนุษยชาติเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่ามันคือความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของมนุษย์ทุกคน
ตั้งแต่เมื่อเราเป็นเด็ก เราโกหกเพราะแยกแยะจินตนาการออกจากความจริงไม่ได้ , กลบเกลื่อนเพื่อเอาตัวรอด เข้าสู่ช่วงผู้ใหญ่ เริ่มหลบตาฝ่ายตรงข้าม มองต่ำลง แทนการพูดออกมาว่า ” เฮ้ !ชั้นไม่เชื่อเรื่องที่คุณเพิ่งพูดหรอก”
แน่นอน ..การโกหกรุนแรงประเภท ปลอมแปลงเอกสาร เช็คเด้ง ฟอกเงิน ฯลฯ เป็นเรื่องชั่วร้ายที่…เข้าใจไม่ได้ ไม่มีวันเข้าใจ
แต่การโกหกใน The Invention Of Lying นั้นต่างออกไป หนังมุ่งประเด็นไปที่การโกหกแบบ White Lie หรือ โกหกสีขาวซะมากกว่า
หนังเรื่องนี้สมมุติว่านี่คือโลกที่มนุษย์ไม่รู้จักการโกหกหรือการพูดตรงข้ามความจริงเลยสักนิด ถ้าคุณผิวขาวแต่เดินไปบอกคนในร้านอาหารว่า ผิวฉันดำชะมัดเลย ทุกคนก็จะเชื่อแบบนั้นแม้จะเห็นว่าคุณผิวขาวก็ตาม
Mark Bellison (Ricky Gervais )ชายหนุ่มวัยกลางคน พนักงานบริษัทผลิตภาพยนตร์ อ้วน จมูกทู่ ถังแตก ย่ำอยู่กับที่และกำลังจะถูกเจ้านายไล่ออกอาทิตย์หน้า เพราะไม่มีผลงานเข้าตา เพื่อนร่วมงานก็ไม่ชอบ ดูไม่มีดีอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมีความหวังว่าการได้ออกเดทกับสาวสวยที่เขาแอบปิ๊งมาเป็นปีๆอย่าง Anna (Jennifer Garner )จะเป็นเรื่องดีเรื่องเดียวในชีวิตของเขา แต่คนสวยอย่าง Anna เธอต้องการชายหนุ่มที่มีหน้าตารูปร่างดีเพื่อถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมที่ดีให้กับลูกๆของเธอในอนาคต เธอจึงปฏิเสธ Mark และเป็นเพียงเพื่อนกับเขาเท่านั้น
หลังจากที่ Mark ถูกไล่ออกจากบริษัทแล้ว เขาถูกเจ้าของห้องเช่าไล่ออกเพราะติดค้างค่าเช่า Mark ไปถอนเงินที่ธนาคาร แต่พนักงานแจ้งว่าระบบขัดข้อง เข้าไปดูเงินในบัญชีไม่ได้ เจ้าหน้าที่แนะนำให้เขาแจ้งยอดเงินในบัญชี วินาทีนั้นเองที่เป็นกำเนิดการโกหกครั้งแรกของโลก Mark โกหกไปว่าเงินในบัญชีเหลืออยู่ 800 เหรียญ ทั้งที่ความจริงเหลือแค่ 300 เหรียญ
Mark กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ค้นพบว่า การโหกสีขาวทำให้มนุษย์มีความสุข มีความหวังและทำให้สังคมดำเนินไปอย่างเรียบร้อย เมื่อแม่ที่กำลังจะสิ้นใจ ทุกข์ทรมานเพราะความกลัวชีวิตหลังความตายที่ไม่มีใครเลย Mark ตัดสินใจโกหกแม่ โดยการบอกว่า ชีวิตหลังความตายของแม่จะมีความสุข แม่จะได้เจอพ่อ แม่จะมีบ้านหลังใหญ่ แม่เขาเชื่อและจากไปอย่างมีความสุข
แต่การโกหกครั้งนั้น กลับทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติ ผู้คนต่างมาชุมนุมที่สนามหน้าบ้านของ Mark เพื่อสอบถามเกี่ยวกับโลกหลังความตายด้วยความหวัง Markไม่ต้องการทำลายความสุขของคนเหล่านั้น เขาตัดสินใจโกหกต่อไปโดยการบอกว่า มีบุรุษบนท้องฟ้าที่คอยกำหนดชีวิตพวกเราอยู่ หลังจากการประกาศในครั้งนั้น Nasa เริ่มต้นค้นหาบุรุษบนท้องฟ้า มีสถานรำลึกถึงบุรุษบนท้องฟ้าที่เรียกกันภายหลังว่า ” โบสถ์ ” แล้ว ศาสนา พระเจ้าก็เข้ามามีบทบาทกับมนุษย์ทุกคนนับตั้งแต่นั้นมา
Mark จะเลือกโกหกAnna หรือไม่ ? ว่าการเป็นเศรษฐีช่วยเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของลูกๆถ้าเธอแต่งงานกับเขา หรือจะพูดความจริงแล้วยอมให้เธอเลือกชายหน้าตาดี พันธุกรรมเด่นกว่าเขา?
ผู้ชายคนที่เล่นเป็น Mark Bellison คือ Ricky Gervais ที่เป็นทั้งผู้กำกับและเขียนบทเอง ก่อนหน้านี้เขาเขียนบทให้กับซีรี่ส์สุดฮา The Office และยังเป็นผู้กำกับหนังเรื่อง Cemetery Junction มาก่อน
มาถึง The Invention of Lying ก็เอาความจริงของสังคมมนุษย์มาล้อเลียนให้ขบคิด คือ… ไม่ว่าโลกนี้ ” ข้อตกลงเรื่องสิทธิการแสดงความเห็นอย่างเสรีเยี่ยงมนุษย์” จะบัญญัติไว้ว่ายังไงก็ตาม แต่ด้วยโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน มนุษย์จึงเลือกที่จะโกหกเล็กๆน้อยๆเพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างราบรื่น หรือเพื่อได้รับการยอมรับจากสังคม หรือเพราะความรักและเจตนาที่ดี …. ไม่โดนโกหก ก็เป็นฝ่ายโกหกซะเอง บางครั้งจำใจ บางครั้งเต็มใจ บางครั้งเพราะสถานการณ์พาไป เอาเข้าจริงๆแล้ว ทฤษฎีของนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ลำบากในเรื่องการโกหกสีขาว
บางคนโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ อย่าง “ญาติเธอจะต้องหายป่วยแน่นอน” ” เปล่า ไม่มีอะไร “
บางคนโกหกว่าป่วยเพื่อให้ได้หยุดงานในวันที่เราตื่นสาย
บางคนโกหกว่าไม่มีเงิน เพราะกลัวว่าเพื่อนยืมเงินแล้วจะไม่ยอมคืน
บางคนโกหก เพราะอยากได้งาน
บางคนหลับหูหลับตาชมคนอื่นตลอดเวลาว่าหล่อสวยดูดี ทุกคน ทุกครั้ง ที่เจอกัน เหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ว่าภาพทีเห็นจะขัดแย้งกันแค่ไหน
บางคนโกหก เพราะอยากคบผู้ชายหลายคนเป็นตัวเลือก
ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้แต่ยังบอกใครๆว่าคุณไม่เคยโกหก และไม่ใช่คนเสแสร้ง ….บิงโก! เราเจอคนโคตรโกหกตัวเองเข้าแล้วล่ะ
มันคือการโกหกนั่นแหละ เพียงแต่เป็นการโกหกที่มีเหตุผลส่วนตัวของใครของมัน ก็จริงที่ทุกศาสนาสอนว่าการโกหกทุกประเภทคือบาป แต่มนุษย์ก็ยังจำเป็นต้องทำเสมอ ยอมรับความจริงเถอะว่าคนเราไม่ได้มีแค่ด้านสว่างเท่านั้น แต่มีด้านมืดที่ผนวกและทำงานสลับซับซ้อนในสมองของเรา บางทีเราโกหกคนอื่นซ้อนทับกับการโกหกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถ้ายังเถียงว่าไม่จริ๊ง ไม่จริง งั้นก็ตอบมาว่า…
อยากให้คนบอกกับคุณไหมว่า หน้าตาคุณอัปลักษณ์ชะมัดแถมนิสัยแย่อีกต่างหาก ?
คุณจะบอกความจริงกับใครไหมว่า คุณเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิงรวย?
คุณจะบอกกับพ่อแม่แฟนไหมว่าคุณ ไม่ชอบพวกเขา?
คุณจะบอกกับคนอื่นไหมว่าคุณไม่ชอบเพื่อนคนนี้เลย และนินทาเขาลับหลังเสมอ?
จะเปลี่ยนป้ายองค์กรให้เข้าใจชัดกว่าที่เคยดีไหม ว่าเป็น ” สถานดัดสันดานเด็กเลวที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน” “ศูนย์รวมคนแก่ที่ลูกทอดทิ้ง “
ร้อยทั้งร้อย ตอบว่าไม่ต้องการฟัง ไม่ต้องการพูดความจริงที่แทงใจดำให้เจ็บปวดอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อการโกหกเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ 100% ก็หัดทำความเข้าใจกับมันซะดีกว่า ว่า โกหกสีขาวก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร กลับกัน …การเอาแต่พูดสิ่งที่คิดในใจมักทำให้คนมองว่าคุณ คุยด้วยยาก ถึงขั้นไม่มีใครอยากพูดกับคุณอีกเลย.
Pattrawadee Tanaluk
ภัทราวดี ทนาลักษณ์